“จีน” ครองอันดับ 1 ด้านสังคมไร้เงินสด

11 เมษายน 2019
Share

หากเราย้อนกลับไปดูข้อมูลประวัติการใช้เงินตราของโลกนั้น เราจะพบว่าประเทศจีนเป็นประเทศแรกๆ ที่บุกเบิกการใช้ “ธนบัตร”  แต่ตอนนี้ประเทศจีนกลายเป็นประเทศที่เป็น “สังคมไร้เงินสดแห่งแรกของโลก”

ในปี 2017 มีชาวจีนมากกว่า 3 ใน 4 ใช้การชำระเงินแบบดิจิทัล และมีจำนวนผู้ใช้บริการดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายในปีเดียวกัน ซึ่งขณะนี้ธนาคารกลางของประเทศจีนและหน่วยงานด้านการเงินอื่นๆ กล่าวว่าพวกเขาต้องการที่จะใช้ประโชยน์จากการไม่ใช่เงินสดกับประชาชนที่อาศัยอยู่ในแทบชนบทของประเทศจีน เพื่อลดต้นทุนในการทำธุรกรรม

เมื่อดูข้อมูลเจาะลึกลงไป พบว่า ประเทศจีนอยู่เบื้องหลังสังคมไร้เงินสดของประเทศสวีเดน และตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเป็น “สังคมไร้เงินสด” แบบสมบูรณ์แบบตามหลังประเทศจีน ในปี 2023 อย่างไรก็ตาม การเติบโตของการชำระเงินดิจิทัลของประเทศจีนเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก ในการเป็น “สังคมไร้เงินสด” ที่น่าสนใจมากกว่าประเทศอื่น ด้วยปัจจัยของจำนวนประชากรนั้นเอง แต่ประเทศจีนมีเทคโนโลยีการชำระเงินที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะมีข้อมูลของผู้ชำระเงินบนมือถือในประเทศจีนจำนวนมากในทุกๆ ปี

รายงานการชำระเงินทั่วโลกในปี 2018 ประเทศจีนเน้นโอกาสการเติบโตที่ไร้ขีดจำกัดโดยเฉพาะในภาคธุรกิจ ซึ่ง “จีนแสดงให้เห็นว่าตัวเองนั้น เป็นผู้นำด้านบริการธุรกรรมการเงินในยุคโลกดิจิทัลที่ผู้ใช้เชื่อถือมากที่สุด” ที่ยืนยันศักยภาพดังกล่าวได้จากการเติบโตของบริษัทผู้ให้บริการ Mobile Wallet อย่าง  Alipay และ WeChat Pay ทำให้ประเทศจีนเป็นตลาดการชำระเงินผ่านมือถือที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปแล้ว และยังเป็นผู้นำในการชำระเงินแบบ Peer-to-Peer Payment อีกด้วย

แม้ประเทศจีนจะประสบความสำเร็จในการเป็น “สังคมไร้เงินสด” แต่ก็ยังมีหลายคนตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ที่อาจจะก่อให้เกิดผลเสียได้ในอนาคต ซึ่งทางประเทศ UK เห็นว่าการเป็นสังคมไร้เงินสดมากเกินไป จะส่งผลเสียต่อคนยากจน คนพิการ และครอบครัวในชนบท (ที่ความรู้เข้าถึงได้ยาก) จะถูกหลอกได้จากมิจฉาชีพทางเทคโนโลยี

ทั้งนี้ พบรายงานที่ระบุว่า “สังคมที่ไม่มีเงินสด” เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาสำหรับคนบางกลุ่ม ทำให้ประเทศจีนต้องพัฒนาและแก้ไขเรื่องดังกล่าวต่อไป เพื่อป้องกันผลกระทบที่สามารถเกิดได้ในอนาคตมากที่สุด โดยหนึ่งในแผนการป้องกัน นั้นคือเพิ่มความพร้อมในการให้บริการอินเทอร์เน็ต อีกทั้งการสร้างบริการสาธารณะทางดิจิทัลให้มากขึ้น และอำนวยความสะดวกในการขายผลผลิตบนออนไลน์ในชนบทให้แก่ผู้บริโภคในเมือง เพื่อจูงในและสร้างความรู้ด้านเทคโนโลยีให้กับผู้ทำการเกษตร สามารถสลับไปสู่ความรู้ด้านสังคมไร้เงินสด ที่จะช่วยให้เกษตรกรสามารถซื้อสิ่งจำเป็นต่อกิจการของตัวเองได้สะดวกขึ้น เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธ์ และรวมไปถึงเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น เป็นต้น โดยบริษัทใหญ่อันดับต้นๆ อย่าง Alibaba และ JD ได้ทำแผนดังกล่าว เพื่อจัดตั้งบริการออนไลน์ที่ช่วยให้เกษตรกรซื้อและขายผลิตผลเรียนร้อยแล้ว

หากดูข้อมูลการชำระเงินทางดิจิทัลจากธนาคารกลางของประเทศจีนได้ระบุว่า ใน 2017 ประชาชนในพื้นที่ชนบท 66.5% ใช้การชำระเงินทางดิจิทัล ซึ่งข้อมูลดังกล่าว สอดคล้องกับการที่มีผู้สนับสนุนการเปลี่ยนเป็นการชำระเงินแบบไร้เงินสดที่มากขึ้น เพราะความเร็วในการทำธุรกรรม ช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจ และลดโอกาสให้อาชญากรโกงได้อีกด้วย ซึ่งผลตอบรับที่ดีขึ้นมาจากการให้ความรู้เรื่องดังกล่าว และคนในชุมชน และชนบทที่ทั่วถึง

ในอีกมุมการเกิดอาชญากร สามารถลดคดีปล้นธนาคารได้ แต่ผู้ฉ้อโกงทางออนไลน์จะมาแทน ที่ปรับตัวให้เข้ากับการลดลงของเงินสด สิ่งนี้ทำให้นักพัฒนาทางเทคโนโลยีต้องคำนึงและวางแผนรับมืออยู่เสมอ

Reference

www.straitstimes.com

Related Posts

  • Data Tech Trends & Predictions for 2025
  • Singapore FinTech Festival (SFF) 2024 06 – 08 November 2024
  • Fintech Course: Unleashing Future of Finance by TFA
bt_bb_section_bottom_right_section_coverage_image

Contact Us

Address

439B-1 Siam Paragon Shopping Mall, 4th Floor, Rama 1 Road, Pathumwan, Pathumwan, Bangkok, Thailand 10330

The information contained in this website is provided for informational purposes only and on an “as is” basis, without representation or warranty of any kind. Thai Fintech Association does not guarantee whether the information is correct or up-to-date.   no event shall Thai Fintech Association be liable to you or any person for any loss of business or profits, or for any indirect, incidental or consequential damages arising out of any use of, or inability to use, or for any other claim by you or any other person.

© Copyrights 2021 - All Rights Reserved - Thai Fintech Association