- หลังจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ทางธนาคารมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินงานอย่างไร
ในช่วงโควิดที่ผ่านมา ธนาคารคิดว่าวิกฤตนี้น่าต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 ปี กว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวเป็นแบบเดิม จึงได้มองแนวทางการดำเนินงานไว้เป็น 2 แบบ คือ
- ทีมงานแก้ปัญหาในปัจจุบัน – โดยเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาและให้คำแนะนำกับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ เช่น การช่วยปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ลูกค้ามี cash flow สามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้
- ทีมงานที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องในอนาคต – จากโควิดที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่เป็น New Normal เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการใช้งานต่างๆ การใช้ชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนแปลงไป หรือองค์กร ลูกค้า รวมไปถึงบริษัทต่างๆก็มีการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนไป ดังนั้นทางธนาคารเอง จึงต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามไปด้วย
2. ท่านมีข้อคิดเห็นอย่างไรกับคำว่า “ New Normal ” และมีการเตรียมความพร้อมอะไรบ้าง
ต้องบอกว่าเรามีการเตรียมความพร้อมมานานแล้วกับการเข้าสู่ยุคที่เป็นดิจิทัล และช่วงโควิคที่ผ่านมาก็เหมือนเป็นตัวเร่งที่ทำให้คนต้องหันมาใช้ช่องทางดิจิทัลมากขึ้น ยกตัวอย่าง เช่น ยอดการใช้งานบนช่องทางดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นพร้อมเพย์ การโอนเงิน การชำระเงินที่สูงมากขึ้น เป็นต้น จากที่เมื่อก่อน การที่คนจะเริ่มใช้งานแอปพลิเคชันได้นั้น คือ ต้องเป็นคนที่มีความรู้ หรือมีความคุ้นชินกับการใช้งานมาก่อน แต่พอโควิดเข้ามา กลับทำให้ผู้สูงอายุ หรือคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจด้านการใช้งานพวกธุรกรรมทางการเงินบนมือถือ พอเขาได้เข้ามาทดลองใช้ และเรียนรู้ว่ามันไม่ได้มีอะไรน่ากลัว จึงทำให้ข้อจำกัดในการเข้าถึงการใช้งานลดลง และเมื่อไม่นานมานี้จะเห็นได้ว่าเราได้ออกผลิตภัณฑ์ด้าน Digital Bank ชื่อ LINE BK โดยร่วมมือกับ LINE ให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมทางธนาคารบนช่องทาง Social Media ได้ ช่วยให้การทำธุรกรรมการเงิน อย่างเช่น การโอนเงิน การซื้อสินค้าออนไลน์ สามารถทำได้ง่ายขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น และอีกผลิตภัณฑ์หนึ่งที่เรามี คือ “ ขุนทอง ” ที่ช่วยให้คนที่ใช้งานแอปพลิเคชัน LINE ในชีวิตประจำวัน สามารถแชร์การใช้งานต่างๆร่วมกันได้ เช่น การแชร์ค่าอาหาร เป็นต้น นอกจากนี้ในแง่ของผู้ประกอบการ เรายังช่วยสนับสนุน และร่วมมือกับ Platform ด้าน E-commerce อีกด้วย ทั้ง Lazada, JD Central หรือ Grab ในการออกสินเชื่อ หรือออกสินค้าทางการเงินให้กับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์
- สิ่งใดถือเป็นโอกาส และอุปสรรคของสถาบันการเงินในปัจจุบัน
การที่คนเข้ามาใช้งานด้านดิจิทัลมากขึ้น ถือว่าเป็นโอกาสสำหรับเราที่จะนำเสนอ Innovation ผ่านช่องทางใหม่ๆ และสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ส่วนด้านอุปสรรค หากพูดถึงสถาบันการเงิน อย่างธนาคาร เราจะต้องรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ หรือชื่อเสียงขององค์กรรวมอยู่ด้วย ฉะนั้นการที่เราจะลงมือทำอะไรซักอย่างเลยต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก และต้องมั่นใจด้วยว่าสิ่งนั้นจะไม่สร้างข้อบกพร่องให้กับทางธนาคาร ซึ่งจากจุดนี้เองจึงเป็นเหตุให้เราอาจจะทำงานได้ล่าช้ากว่าสตาร์ทอัพ และอุปสรรคอีกเรื่องหนึ่ง คงเป็นด้านทรัพยากรที่ต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานค่อนข้างนาน ทำให้ต้องมีการจัดสรรลำดับความสำคัญให้ดีเสียก่อน
- ในอีก 3 – 5 ปี มูลค่าการลงทุนจะเป็นไปในทิศทางใด และมีสตาร์ทอัพ ด้านใดบ้างที่น่าจับตามอง
ถ้าพูดถึงมูลค่าการลงทุน น่าจะคล้ายกับที่เห็นในต่างประเทศ เราจะเห็นว่ามี deal การลงทุนที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และมีสัดส่วนที่สูงขึ้นกว่า เมื่อเทียบกับ deal ลงทุนเล็กๆที่มีความเสี่ยงสูง สตาร์ทอัพควรจะเน้นเรื่องการสร้างรายได้ให้มากขึ้น ส่วนสิ่งที่ธนาคารกำลังสนใจอยู่ตอนนี้ คือ การเป็น Partnership กับ Digital Platform ต่างๆ เพื่อทำผลิตภัณฑ์ หรือบริการร่วมกัน เรามองว่าสิ่งนี้ คือ สิ่งที่หลายๆบริษัทมองเห็นช่องทางในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ เพื่อที่จะทราบว่าในอนาคตมีอะไรที่จะเป็นเทรนด์ใหม่ๆบ้าง นอกจากนี้ทางธนาคารเรายังสนใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ Data ต่างๆอยู่ เช่น Machine Lending และ Open-Banking
- แนวโน้มของฟินเทคสตาร์ทอัพ ในอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป มีสิ่งใดบ้างที่จะช่วยขับเคลื่อน Ecosystem นี้ให้เติบโต
สำหรับฟินเทคสตาร์ทอัพ ต้องบอกว่าต้องทำงานกันหนักขึ้น เนื่องจากจะมีผู้เล่นเข้ามาเยอะขึ้น จากที่เห็นตอนนี้ นอกจาก Fintech Player แล้ว ยังมีต่างชาติ มี Non-Bank ที่เข้ามาแข่งด้วย หรือทางธนาคารเอง ก็เริ่มมีการตั้งหน่วยงาน Venture Builder ที่ทำด้านสตาร์ทอัพด้วยเช่นกัน ซึ่งต่างจากเมื่อ 2 – 3 ปีก่อนที่ยังไม่มีผู้เล่นในวงการนี้มากนัก ส่วนจำนวนของฟินเทคสตาร์ทอัพ ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับความต้องการ หรือมีช่องว่างอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นหรือเปล่า อย่างที่แบงก์ชาติเพิ่งเปิดให้ทำเกี่ยวกับ Peer to Peer Lending ซึ่งอาจจะเกิดช่องว่างขึ้นมาให้สตาร์ทอัพเจ้าใหม่ๆได้เข้ามาทำ แต่ถ้าในตลาดไหนมีสตาร์ทอัพที่อยู่ในพื้นที่นั้นอยู่แล้ว จะเห็นว่าตลาดก็ไม่ได้เติบโตมากนัก คงต้องหา Strategy ใหม่ๆมาสร้างการเติบโตให้ดีกว่าเดิม
สำหรับสิ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนให้ Ecosystem เติบโตได้นั้น ผมมองว่าควรจะมีการสร้างความร่วมมือระหว่างกันให้ดี และตามที่ได้เรียนไปว่าทางสถาบันการเงินเอง ก็จะมีความชำนาญ หรือความเชี่ยวชาญในเฉพาะบางเรื่อง เราเลยไม่สามารถทำทุกเรื่องเองได้ ดังนั้นการใช้ทรัพยากรบุคคลเพื่อไปดำเนินการก็อาจจะไม่พอ เราเลยอยากได้คนที่จะมาช่วยเสริมตรงจุดนี้ จึงไม่อยากให้สตาร์ทอัพมองว่าธนาคาร คือ คู่แข่ง แต่อยากให้มองว่าคุณจะเข้าไปสร้างมูลค่าให้กับธนาคารได้อย่างไร เพื่อให้เขาแข็งแกร่งขึ้น สามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น ดังนั้นการสร้าง Partnership จึงอาจจะเป็นสิ่งที่เห็นกันมากขึ้นในอนาคต ทางด้านภาครัฐที่ผ่านมา ก็ถือว่าช่วยในขอบเขตที่ทำได้ดีอยู่แล้ว บางเรื่องเราก็เห็นว่ามันอาจจะยากเกินไป แต่เขาก็พยายามหาแนวทางใหม่ๆเข้ามาช่วย เช่น กฎระเบียบต่างๆ ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ถือเป็นว่าอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้สตาร์ทอัพทำงานกันไม่ได้ แต่อาจจะต้องหาความต้องการจากตลาดให้มีมากขึ้น เพราะนอกจากฝั่ง B2B และ B2C แล้ว ยังต้องมี B2G ด้วย โดยภาครัฐอาจจะเข้ามาสนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์ หรือบริการของสตาร์ทอัพเมืองไทยให้มากขึ้น พร้อมทั้งสร้างคุณค่าให้ทุกหน่วยงาน ทุกองค์กรได้เห็นก่อน เพื่อที่สตาร์ทอัพจะได้มีโอกาสเข้าไปนำเสนอผลงาน
- สิ่งที่อยากฝากทิ้งท้าย
เราเห็นว่าในช่วงโควิดที่ผ่านมา พอเกิดปัญหา หลายคน หลายบริษัท ไม่ว่าจะเป็น SME หรือ ธุรกิจต่างๆเอง ต่างก็ดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด น้องๆสตาร์ทอัพ ก็อย่าเพิ่งยอมแพ้ ที่จริงแล้วจากข้อมูลช่วงโควิดนี้ สตาร์ทอัพส่วนใหญ่ได้ผลกระทบเชิงบวกด้วยซ้ำไป ดังนั้นถ้าของตัวเองมีปัญหาอยู่ ต้องลองสังเกตเพื่อนๆครับ ว่าเค้าทำอย่างไร ทำไมเค้าทำได้ แล้วทำไมเราจะทำอย่างเค้าบ้างไม่ได้ จึงอยากให้มีความมุ่งมั่นในการฝันฝ่าอุปสรรคนี้ไปด้วยกันครับ
คุณธนพงษ์ ณ ระนอง
กรรมการผู้จัดการ
บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล