- ท่ามการผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ทางธนาคารมีการปรับตัว และมีส่วนช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศอย่างไร
ธนาคารเองมีทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้ารายใหญ่ ทั้งนิติบุคคล แล้วก็บุคคลธรรมดา ซึ่งเรามีการช่วยเหลือในทุกๆส่วน อย่างลูกค้ารายย่อยเราก็มีการยืดระยะเวลาหนี้ให้ ลดดอกเบี้ยให้ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต สินเชื่อบ้าน หรือสินเชื่อรถ สำหรับลูกค้ารายใหญ่เราก็มีการช่วยทั้งยืดระยะเวลาชำระหนี้ ลดดอกเบี้ย หรือทั้งลดทั้งไม่เดินดอกเบี้ยในการปล่อยกู้ Soft Loan ที่ได้มาจากรัฐบาล เพื่อนำมาปล่อยกู้ในราคาถูก อยู่ที่ 1 – 2 เปอร์เซ็นต์ ให้ลูกค้ารายใหญ่สามารถดำเนินกิจการไปได้ และในบาง Sector ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากโควิดอยู่ เช่น การท่องเที่ยวที่ยังไม่สามารถฟื้นได้ เราก็อาจจะยืดโปรแกรมการให้ความช่วยเหลือออกไป
นอกจากนั้นเรายังให้คำปรึกษาทั้งผู้ประกอบการรายย่อย และพนักงาน เพื่อช่วยหาทางออกให้เขาว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าพูดถึง Krungsri Finnovate เอง เราก็มีการช่วยเหลือสตาร์ทอัพที่ได้รับผลกระทบในช่วงโควิดนี้ด้วย โดยจัดเวที Online Pitching ขึ้น เพื่อให้สตาร์ทอัพที่อยู่ใน Early Stage ได้มาเจอกับบรรดาเหล่า Angel หรือ VC ที่ชอบลงทุนในกิจการเล็กๆ ซึ่งโครงการนี้เราจัดอยู่เดือนละครั้ง ทุกวันพุธสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน และเราก็จัดมาได้ทั้งหมด 10 ครั้งแล้ว โดยมีสตาร์ทอัพถึง 48 ทีม ที่เข้ามาร่วม โดยที่เราจะฝึกอบรม แล้วก็ช่วยทำ Pitching หลังจากนั้นเราก็จะทำ KFINSight Report ให้กับสตาร์ทอัพและฝั่งนักลงทุน เพื่อที่แต่ละฝ่ายจะได้ทราบว่าคนอื่นมองทีมนี้เป็นอย่างไร มีคำติชมว่าอย่างไร ซึ่งในตอนนี้ก็มีสตาร์ทอัพ 2-3 รายแล้ว ที่ได้รับทุนจากโครงการ Meet The Angel ของเราเพื่อต่อยอดธุรกิจ
- ทางธนาคารมีความคิดเห็นอย่างไร กับคำว่า “ สังคมไร้เงินสด ” และจะพลักดันให้ประเทศไทยเป็นสังคมไร้เงินสดได้อย่างไรบ้าง
เราสนับสนุนให้ไทยเป็น Cashless Society อยู่แล้ว เรามุ่งมั่นที่ช่วยตั้งแต่การใช้ QR หรือ Promptpay จนกระทั่งตอนนี้ เราก็กำลังออก QR บัตรเครดิตให้กับร้านค้าที่ไม่จำเป็นต้องลงเครื่องบัตรเครดิต และได้ไปทดลองใช้งานที่ Homepro โดยลูกค้าสามารถใช้มือถือสแกนเพื่อจ่ายเงินผ่านแอปที่เราทำขึ้นได้เลย ทางด้านเทคโนโลยีอื่นๆ ตอนนี้เราก็กำลังทดลองอยู่ในแลป อย่างเช่น Face Payment ที่ลูกค้าสามารถใช้ใบหน้าเพื่อจ่ายเงินได้ แต่ยังต้องใช้รหัส PIN เพื่อยืนยันตัวตนอยู่เหมือนเดิม ซึ่งในปีหน้าเราอาจจะได้เห็นบริการนี้กัน นอกจากนั้นเรายังมุ่งมั่นและพลักดันให้กับด้านโลจิสติกส์ด้วย โดยเข้าไปทำงานร่วมกับบริษัทต่างๆ เพื่อ Launch Business Model ออกมา เพราะในปัจจุบันคนไทยยังชอบจ่ายแบบ Cash On Delivery (COD) อยู่ เนื่องจากคนไทยต้องการความมั่นใจก่อนว่าสินค้าได้จัดส่งถึงที่บ้านแล้วจริงๆ ซึ่งต่อไปเราก็ไม่ต้องจ่ายเป็นเงินสดก็ได้ แค่สแกน QR แล้วจ่ายเงิน เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่เราพยายามพลักดันให้เกิดสังคมออนไลน์อย่าง Cashless ขึ้นจริงๆ
- สิ่งใดคือความท้าทายของสถาบันการเงิน ณ ปัจจุบัน
ความท้าทายมีอยู่หลายเรื่อง คือ
- เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี กำลังจ่ายของผู้บริโภคก็ลดลง ถ้าอยู่ในลักษณะของสินเชื่อบุคคล หรือบัตรเครดิต ก็จะมีผลกระทบต่อรายได้
- ผลกระทบต่อหนี้เสีย ที่เราเผชิญอยู่เป็นอย่างมาก เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี คนก็มีกำลังจ่ายน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นคนทั่วไป หรือนิติบุคคล ก็จะเริ่มจ่ายเงินยากยิ่งขึ้น
- เทคโนโลยีที่เป็นสตาร์ทอัพ หรือบริษัท Tech Firm จริงๆเราไม่ได้กลัวที่สตาร์ทอัพจะมาแข่งขันกับทางธนาคาร เพราะวันนี้สตาร์ทอัพจะเข้ามาทำงานร่วมกันกับธนาคาร แต่ในต่างประเทศก็มีสตาร์ทอัพบางประเภทที่เข้ามาแข่งขันกับธนาคารโดยตรง เช่น บริการโอนเงินของเหล่า Payment Gateway ต่างก็ใช้ Omise หรือ 2C2P กัน จึงไม่ได้ใช้ของธนาคาร เป็นผลมาจากการที่ลูกค้าได้ย้ายบริการเหล่านี้ไปที่ฟินเทคสตาร์ทอัพ ยกตัวอย่างในต่างประเทศที่มีสตาร์ทอัพที่ทำตัวเป็นธนาคารเลย เรียกว่า Digital Challenger Bank; Digital Bank หรือ Challenger bank หรือ NeoBank ที่ไม่ได้มาในรูปแบบของธนาคารเพียงอย่างเดียว แต่มาในรูปแบบของบริการที่เหมือนธนาคาร โดยให้บริการออนไลน์เช่นเดียวกัน และง่ายกว่า เริ่มจากมีไม่กี่ผลิตภัณฑ์ แล้วก็ไปผูกพันธมิตรร่วมกับบรรดาฟินเทคด้วยกัน เช่น Revolut, M26, Monzo ที่คน Gen Y และ Gen Z มานิยมใช้กัน แต่ก็ต้องบอกว่าอาจจะไม่ใช่แบงก์หลักที่มีไว้เก็บเงิน เพราะพวกเขายังต้องการความปลอดภัย และความมั่นใจอยู่ แต่ถ้าถามถึง ไลฟ์สไตล์การใช้งานที่ง่าย หรือค่าธรรมเนียมที่ถูก คนเหล่านี้ถึงจะไปใช้บริการ
ความน่ากลัวของ Workforce ที่มีผลกระทบต่อธนาคาร
หากทางธนาคารมีการประกาศจะลดจำนวนสาขาลง คนที่ไม่สามารถปรับตัวได้ หรือคนที่เกษียณอาจจะต้องออกไป และในตำแหน่งนั้นธนาคารอาจไม่หาคนใหม่เข้ามา แต่จะถูกทดแทนด้วย Robot เพราะงานบางอย่างที่ต้องทำเป็นประจำ หรือทำซ้ำๆ สามารถใช้ Robot, RPA หรือ AI ได้ ส่วนคนเก่าจะมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือ Re-skill ตัวเองไปทำงานอื่น หรือถอดใจแล้วลาออกไป สิ่งนี้จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งที่กรุงศรีฯ เองเราก็มีการลดจำนวนคนลง อย่างในส่วนของฝ่ายปฏิบัติการ ที่เราให้ลูกค้าทำบริการเอง เช่น Self Service หรือ Mobile App ทำให้กระบวนการเหล่านี้มันถูกทำให้เป็นแบบอัตโนมัติมากขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องใช้พนักงานเท่าเดิมก็ได้ ซึ่งธนาคารก็รู้ว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้า รายได้จะโตน้อยกว่าเมื่อก่อน เพราะในปัจจุบันเราถูกสิ่งแวดล้อมบังคับ ทำให้ไม่สามารถโตได้ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศลดดอกเบี้ยธนาคาร บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล สินเชื่อเช่าซื้อ ที่ลดลงไปถึง 3-4 % ดอกเบี้ยจึงหายไปประมาณ 10-20 % ในรายได้ของดอกเบี้ย หรืออย่างเมื่อก่อนธนาคารเคยเก็บค่าธรรมเนียม เมื่อมีการโอนเงินระหว่างธนาคาร แต่ในวันนี้กลับไม่ได้เก็บเลย รายได้ที่คิดว่าจะมาทดแทนอย่างการโอนเงิน การจ่ายแบบ Cashless ที่มีข้อมูลมากขึ้น เราก็ยังไม่สามารถเอามาขายได้ทันที ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จึงทำให้รายได้ของธนาคารลดลง แต่ธนาคารก็ยังอยากที่จะมีรายได้อย่างน้อยเท่าเดิม เลยจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับด้าน Workforce ด้วย ดังนั้นสัดส่วนของสตาร์ทอัพในการดูแลลูกค้าจึงมีประสิทธิภาพกว่า ประหยัดกว่า เพราะใช้คนในการให้บริการน้อยกว่าธนาคาร
- ธนาคารกรุงศรีจะมีผลิตภัณฑ์ หรือบริการใหม่ๆ มาตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบันอย่างไร
เราทำงานร่วมกันกับสตาร์ทอัพ แล้วก็พาร์ทเนอร์ที่เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยี รวมทั้งบริษัทใหญ่ๆที่กำลังเติบโต เพื่อมาทำในเรื่องของ Information Base Lending โดยนำฐานข้อมูลเดิมที่มีอยู่มาใช้ในการปล่อยสินเชื่อ เช่นเดียวกันถ้าเรามองไปในกลุ่ม SME ทางด้าน Supply chain เราก็ทำเหมือนกัน คือ สร้าง Blockchain ขึ้นมา แล้วให้ระบบมันจัดการให้แบบอัตโนมัติ หลายๆอย่างจึงรวดเร็วขึ้น เช่น Workflow ของบริษัทที่เห็นภาพการทำธุรกรรมตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ จากจุดนี้เองธนาคารก็มองเห็นรายได้ จึงไปจับมือกับ E-Commerce เพื่อนำมาปล่อยกู้ให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่บน Platform ไม่นับกรณีที่ธนาคารในเมืองไทยก็อยากจะเป็น Super App เพราะธนาคารมีข้อมูลอยู่แค่มิติเดียว คือ มุมมองจากคนที่มีเงินจ่าย คนที่มีเงินฝาก หรือคนที่มีเครดิตสินเชื่อ ทำให้เราไม่เคยมองในมุมอื่นเลย ถ้าหากมี Super App นี้เข้ามา ก็จะช่วยตอบโจทย์ได้ว่าลูกค้ามีพฤติกรรมอื่นๆอย่างไรบ้าง ที่เราสามารถนำมาทำในเรื่องของ Credit Scoring ให้กับเขา เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้นได้ หรืออย่างบางธนาคารก็อยากรู้ว่าลูกค้าชอบไปช็อปปิ้งอะไร ซื้อสินค้าอะไรเยอะ เราก็จะเข้าใจและเรียนรู้ในพฤติกรรมของลูกค้าจากสิ่งที่เขาใช้เป็นประจำ จะได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ให้เขาถูก เราเองก็ได้เห็นอะไรบางอย่างได้มากขึ้น
- ธนาคารกรุงศรีมองว่าวงการสตาร์ทอัพในประเทศตอนนี้เป็นอย่างไร และควรให้การสนับสนุนในด้านใด
สตาร์ทอัพในประเทศไทย ตัวใหญ่อย่าง Series A ขึ้นไป ถือว่ายังไปต่อได้ มีการได้รับเงินลงทุนอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้หวือหวามาก เหตุผลเป็นเพราะว่ากองทุนทั้งหลายอย่าง Corporate Vendor Capital จากธนาคารต่างๆมีเงินพร้อมที่จะลงทุน แต่ติดปัญหาตรงที่ไม่ค่อยมีสิ่งที่น่าสนใจให้ไปลงทุน ทำให้ความต้องการซื้อ (Demand) และความต้องการขาย (Supply) ไม่ค่อย Match กันเท่าไหร่ แล้วยิ่งทางต่างประเทศที่อยากจะมาลงทุนที่เมืองไทย แต่สินค้าหรือสตาร์ทอัพเรายังมีไม่มาก จึงทำให้เกิดช่องว่าง หรือจุดที่สตาร์ทอัพจะต้องพัฒนาตัวเองขึ้นไป และอีกเหตุผลหนึ่งที่เรากังวล คือ สตาร์ทอัพไทยใน Early Stage หรือ Pre-Seed เริ่มมีน้อยลง การจะเติบโตเป็นระดับสูงๆ ก็เริ่มยากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเราขาดการสนับสนุนที่ถูกต้อง สตาร์ทอัพไม่ได้รับฟัง Pain Point จากตลาดอย่างลูกค้าที่เป็น B2C หรือ B2B แล้วเราก็ไม่มีศูนย์บ่มเพาะ หรือว่า Incubator เช่นแต่ก่อน มันก็เลยทำให้ไม่มีความตื่นเต้นในวงการเกิดขึ้น ว่าใครจะมาเป็นตัวขับเคลื่อน จึงเป็นสิ่งที่เราค่อนข้างเป็นห่วง
อย่างที่ทราบกันว่า สิ่งที่เราพอจะช่วยได้ จากการได้รับฟังข้อคิดเห็นจากสตาร์ทอัพที่อยากจะหาผู้ลงทุน และทางฝั่งนักลงทุน ทั้งแบบ VC หรือว่า Angel เอง ที่อยากจะลงทุนในสตาร์ทอัพแต่ไม่รู้ว่าต้องลงทุนเมื่อไหร่ ที่ไหน และอย่างไร เราจึงแก้โจทย์นี้ โดยจัดทำโครงการขึ้นมา เพื่อให้ทั้งสองฝั่งได้มาเจอกัน แล้วก็ลงทุน และในอนาคตเราก็มีความคิดภายในธนาคารว่าอยากจะจัดตั้งกองทุนที่ลงทุนในสตาร์ทอัพเลย ซึ่งผู้ลงทุนไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแค่ซื้อหน่วยลงทุนที่จะไปลงทุนในสตาร์ทอัพ
คุณแซม ตันสกุล
กรรมการผู้จัดการ
บริษัท กรุงศรีฟินโนเวต จำกัด