หลายคนมากที่ต้องการจะทำอะไรสักอย่าง?…ที่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร?…รู้เพียงแต่ว่า “ฉันอยากจะทำนั้น ฉันอยากจะทำนี้”–นี่คือปัญหาที่พบบ่อยจนมันกลายว่าเป็น Startup Culture ไปแล้ว เพราะกลุ่มคนบางกลุ่มที่ทำ Startup ไม่ได้คำนึงถึงองค์ประกอบรวมต่างๆ เช่น ทำขายใคร ขายอย่างไร มี Process ในการทำงานอย่างไร เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่…ทำไม Startup บางกลุ่มถึงเป็นเช่นนั้น เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่รู้การจัดการจากจุด A ไปจุด B — จุด A ที่พูดถึงก็คือ Idea ที่ Unique และยอดเยี่ยม ที่สามารถนำเราไปถึง จุด B นั้นคือ จุดที่ขายได้สามารถสร้างรายได้ให้เราได้
แต่เชื่อไหม…จากจุด A ไปถึงจุด B มันยากมากกกก
เมื่อมาดูในด้านของการศึกษาหาความรู้ในการจัดการและหากลยุทธต่างๆ มันก็ทำให้ Startup หลายทีมเข้าสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว พัฒนา ต่อยอดธุรกิจตัวเองอย่างงดงาม หากกล่าวง่ายๆ ก็คือ Startup ต้องมีความรวดเร็ว อย่าล่าช้าเด็ดขาด เพราะคู่แข่งเติบโตขึ้นทุกวัน…คู่แข่งหน้าใหม่ก็ยิ่งเกิดมาตำใจอีก แต่ปัญหานี้จะทุเลาขึ้นได้ด้วย “10 ข้อควรปฏิบัติเพื่อให้ Startup เติบโตอย่างเวอร์วัง”
1.ริเริ่มทำมัน
เป็นเรืองที่รู้อยู่แล้ว แต่มันก็สำคัญมากในการริเริ่มทำทีม Startup ซึ่งถ้าคุณนั่งคิดว่าจะทำโดยไม่ได้ลงมือ มันจะส่งผลให้ความคิดของคุณมันไร้ค่า ฉะนั้นการเริ่มทำคือสิ่งที่สำคัญมาก หากอยากจะเริ่มแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไรก่อนเรามีข้อแนะนำ ดังนี้
- เริ่มเขียนบรรทัดแรกของโค้ด
- ลงทะเบียนโดเมน
- ดีไซต์โปรดักส์
- ร่างต้นแบบสิ่งที่จะทำ
เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรสำคัญเท่า “ตัวคุณ” ที่ลงมือทำ
2.ขายอะไรล่ะ
เชื่อหรือไหมว่ามีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งไม่รู้ว่าจะต้องขายโปรดักส์ของตัวเองอย่างไร รู้แค่อยากจะขายแต่ขายไม่เป็น ทั้งนี้ผู้ประกอบที่ประสบความสำเร็จหลายๆ คนไม่ได้ขายอะไรใหม่เลย แต่ทำให้เขาถึงขายได้ ตัวอย่างเช่น
- Sam Walton (Wal-Mart) ขายสิ่งเดียวกับที่คุณสามารถหาได้ที่ร้านสะดวก
- Ted Turner ขายโทรทัศน์และ Broadcast เพียงอย่างเดียว
- Howard Schultz ขายกาแฟ
- Warren Buffett ซื้อและขายหุ้นของผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไม่ได้เป็น Innovator ทุกคน คุณสามารถนำผลิตภัณฑ์ของคนอื่นมาขายได้ เหมือนที่ Richard Branson ที่เปิดตัว Virgin Airlines เขาถูกยกเลิกเที่ยวบินที่จะต้องพาลูกค้าไป Virgin Islands จึงทำให้เขาต้องควักเงินเช่าเหมาลำเที่ยวบินเองเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งแน่นอนว่าเกิด Mouth of Word และลูกค้าตามมาอีกมาก
3.ปรึกษาใครสักคน
แน่นอนว่าเมื่อคุณเริ่มต้นธุรกิจคุณจะไม่มีคำตอบทั้งหมดแน่นอน ตัวอย่างเช่นคุณจะต้องได้รับการจดทะเบียนอย่างไร หากต้องการรับคำตอบให้สอบถามทนาย เพราะทนายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย กล่าวคือเมื่อปัญหาใดเกิดขึ้น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นเพื่อให้คำแนะนำแก่คุณ ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในธุรกิจของคุณ ทั้งนี้ธุรกิจของคุณต้องการความช่วยเหลือ ความรู้ และทักษะทางวิชาชีพมากกว่าที่คุณจะเสียเวลาให้คนอื่นที่ไม่แน่ใจว่ารู้จริงไหม
4.แสวงหาลูกทีมที่เหมาะกับคุณ
ถ้าคุณต้องการหาคนที่มีพรสวรรค์ที่ดีที่สุดและราคาสู้ได้ แม้จะอยู่ไกล หรืออยู่ข้ามประเทศก็ต้องดึงมาร่วมทีมให้ได้
5.สัญญาจ้างพนักงาน
นายจ้างอย่างเปรียบได้เหมือนคนที่มีภาระที่ต้องแบกรับมากมาย ซึ่งการจ้างงานแต่ละครั้งต้องเชื่อได้ว่าคนๆ นั้นต้องไม่ทำให้เรามีการทำงานที่ล่าช้าลง ต้องเลือกพนักงานที่มีประสิทธิภาพเข้ามาเซ็นสัญญา
6. เลือกผู้ร่วมก่อตั้ง
เราไม่สามารถก่อตั้งทีมแต่เพียงผู้เดียวได้ ซึ่งเราต้องมี Co-founder เป็นผู้ร่วมสร้างโดยต้องมีทักษะที่สามารถผลักดันให้เติบโตได้
7.ร่วมงานกับคนที่ค่อยผลักดันคุณ
เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ Steve Jobs ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะได้คนผลักดันที่ดี ซึ่งได้คนร่วมงานที่มีวิสัยทัศที่ดี ส่งเสริมกันในทางที่ดีได้
8.ไม่เน้นเงิน
อย่าเอารายได้มาเป็นตัวกดดันการทำงานของคุณจนมากเกินไป ต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป พยายามประหยัดบางอย่างให้ได้ อย่าเสียเงินกับอะไรที่ไม่คุ้มค่า ส่วนเรื่องรายได้พยายามกันอีกให้มากขึ้น
9.ให้เงินและเงินกับการตลาดเป็นส่วนใหญ่
การตลาดเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้สำหรับธุรกิจของคุณ เมื่อคุณทำการตลาดกับ Product หรือ Service ของคุณ ซึ่งการตลาดไม่ใช่เรื่องเสียเวลา เป็นหนึ่งในการลงทุนที่ดีที่สุดในช่วงต้นที่คุณสามารถทำธุรกิจได้
10. พูดคุยกับผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าของคุณ
ผู้ประกอบการต้องใส่ใจลูกค้าเป็นสำคัญ ต้องรู้จักพูดคุยกับคนหมู่มากที่จะเพิ่มโอกาสในการเพิ่มลูกค้าให้แก่ทีม ถ้ามีคนซื้อหรือใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณ คุณต้องรู้ข้อมูลลูกค้าให้มากที่สุด เพื่อนำไปพัฒนาสินค้าและบริการต่อไปในอนาคต
การเติบโตของสตาร์ทอัพต้องรวดเร็ว แต่ต้องมีการวางแผนที่ดีตาม 10 ข้อที่ผ่านว่า หวังว่าจะได้ประโยชน์เมื่อนำไปใช้ในอนาคต