ธปท. ร่างเกณฑ์กู้ยืมเงินออนไลน์ ตัดตัวกลางปล่อยกู้ออกจากระบบสินเชื่อคาดคลังไฟเขียวเร็วๆนี้ ด้าน TMB เตรียมเปิดตัว Digital Lending ภายในปีนี้ รับการเงินยุคดิจิตอล ขณะที่ ตลท. แจง บมจ. ขนาดใหญ่ ปล่อยกู้กันเองในกลุ่มอยู่แล้ว
นางสาวสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ธปท. ได้ส่งร่างกรอบกติกาการปล่อยกู้แบบ Peer to Peer Lending (P2P) หรือ การกู้ยืมระหว่างบุคคลผ่านระบบออนไลน์ โดยไม่ผ่านตัวกลางอย่างธนาคารพาณิชย์ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาถึงหลักการและความเป็นไปได้ เพราะคลังต้องดูให้ครอบคลุมภาพใหญ่ถึงข้อดีและข้อเสียที่จะเกิดขึ้นคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้
ทั้งนี้ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการ P2P Lending platform สนใจและเข้ามาหารือถึงความคืบหน้าการปล่อยกู้และการขออนุญาตดำเนินธุรกิจกับ ธปท. อย่างต่อเนื่อง หลักสิบราย แต่ต้องรอความชัดเจนจากคลังอีกที เพราะต้องยอมรับว่าการปล่อยกู้แบบ P2P Lending จะเกิดขึ้นได้ต้องดูถึงโครงสร้างพื้นฐานหรือแพลตฟอร์มการปล่อยกู้ระหว่างคนที่ต้องการสินเชื่อและผู้ลงทุนหรือผู้ปล่อยกู้จะต้องไม่สะดุดหรือมีปัญหา รวมถึงการพิสูจน์ตัวตนด้วย
“ธปท. และกระทรวงการคลังกำลังพิจารณาเรื่องนี้ร่วมกัน และเรายังทำงานร่วมกับสำนักงานคระกรรมการกำกับหลักทรัพย์และการตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรื่องการปล่อยกู้หรือระดมทุนแบบ Crowdfunding บนแพลตฟอร์มด้วย”
ด้านนายรูว์ ไฮซแมนประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้ารายย่อย ธนาคารทหารไทยทีเอ็มบีกล่าวว่าภายในปี 2561 ธนาคารจะเปิดตัว Digital Lending อย่างเป็นทางการโดยจะมีทั้งสินเชื่อบ้าน บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลเป็นการปล่อยสินเชื่อผ่านช่องทางดิจิตอลที่จะพิจารณาตามความเสี่ยงของลูกค้า เพื่อให้สินเชื่อได้ถูกที่ ถูกเวลาและถูกคน โดยระยะแรกจะเริ่มจากกลุ่มลูกค้าที่อายุ 25-40 ปี และจะขยายในช่องอายุ เพื่อต่อยอดตามความต้องการในแต่ละเซ็กเมนต์
“การให้บริการสินเชื่อออนไลน์ อาจต้องเริ่มจากลูกค้าเดิมที่มีธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารก่อน เพื่อเห้นควาเสี่ยงและพฤติกรรมลูกค้า แต่ก็ต้องเพิ่มฐานลูกค้าใหม่เข้ามาในระบบด้วย เพื่อสร้างฐานข้อมูลลูกค้า ซึ่งอาจต้องร่วมมือระหว่างธนาคาร รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ เช่น บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติฯ (เครดิตบูโร)
ขณะที่นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงาน ผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจมีการปล่อยกู้กันภายในกลุ่มกันเองอย่างเช่น ภายในกลุ่ม ปตท. กลุ่มบีทีเอส และการกู้ยืมของบุคคลที่รู้จักกัน ในอนาคตจะมีการปล่อยกู้บุคคลกับบุคคลที่อาจจะไม่รู้จักกันมาก่อน แต่จะทำได้ต้องรอการอนุญาตและหลักเกณฑ์จาก ธปท. ก่อน
“ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังพิจารณาหลักเกณฑ์อยู่ แต่การปล่อยกู้โดยคนที่ไม่รู้จักมีความยากในการประเมินความเสี่ยง” นายสันติกล่าว ส่วนการดำเนินธุรกิจมียุคดิจิตอล นายสันติกล่าวว่าตลาดหลักทรัพย์มีแผนจัดตั้ง Corporate Venture Capital หรือซีวีซีในรูปแบบกองทุน ซึ่งมีมูลค่าเงินลงทุน 1 พันล้านบาท โดยจะเข้าลงทุนในธุรกิจสตารืทอัพ และเอสเอ็มอี ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในธุรกิจที่ส่งเสริมกับการลงทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งบริษัทจดทะเบียน บริษัทหลัก ทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) และบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)
“เป้าหมายแรกเราต้องการลงทุนสตาร์ทอัพ ที่มีอยู่ในประเทศก่อน แต่ก็ไม่ปิดกั้นในต่างประเทศตลาดจะต้องเป้นเจ้าภาพ เพราะถ้าหากให้ทุกคนลงทุนเอง ในการพัฒนาเทคโนโลยี ก็จะขาดประสิทธิภาพ” นายสันติกล่าว
คนในวงการตลาดทุนกล่าวว่าการปล่อยกู้ของบุคคลกับบุคคลมีมานานแล้วนอกจากอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจกันแล้วมีการวางหลักทรัพย์ประกัน เช่น หุ้นเพื่อนำเงินมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และการทำธุรกิจเสริมสภาพคล่องในภาวะหาเงินกู้ยาก
ขอบคุณข้อมูลจาก
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ